แนวคิด “ทฤษฎีใหม่” กับ “การจัดสรรการลงทุนส่วนบุคคล”

​จุดเด่นสำคัญของ “ศาสตร์พระราชา” ที่เกิดจากพระอัจฉริยภาพของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” คือการนำความรู้ด้านต่างๆ มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน และได้ทดลองจนเห็นผลเพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ทำให้เราสามารถนำแนวพระราชดำริ “ทฤษฎีใหม่” มาประยุกต์ใช้กับการวางแผนการเงินได้เช่นเดียวกัน
 

“(เกษตร) ทฤษฎีใหม่”

 มีแนวคิดในการจัดสรรที่ดินที่มีจำกัดเพื่อทำให้เราสามารถดำรงชีวิตแบบพึ่งพาตนเองได้และลดรายจ่าย หากเหลือก็นำไปขายเป็นเงินเพื่อใช้ในด้านอื่นๆ ที่ดินส่วนหนึ่งใช้เพื่อสะสมน้ำที่เป็นหัวใจสำคัญทางการเกษตร เพื่อให้มีเพียงพอสำหรับใช้ในการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ตลอดปี

ด้วยหลักการจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัดและมีความไม่แน่นอน ทำให้สามารถสร้างประโยชน์จากทรัพยากรได้อย่างที่มีประสิทธิภาพและมีความมั่นคง ทำให้สามารถพัฒนาตัวเองให้ พออยู่พอกิน ไปจนถึง การสร้างแหล่งรายได้เพิ่มเติมในระยะยาว  “เกษตรทฤษฎีใหม่” แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน เริ่มจาก
 

ทฤษฎีใหม่ขั้นพื้นฐาน

 มีเป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรสามารถ “พออยู่พอกินและพึ่งพาตนเองได้” โดยเริ่มสร้างพื้นฐานด้วยการจัดสรรทรัพยากรที่อยู่จำกัดคือที่ดิน และการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีความไม่แน่ไม่นอนคือน้ำ ที่ดินที่มีอยู่สามารถแบ่งออกเป็น 4 ส่วน เพื่อแยกการใช้ประโยชน์ที่แตกต่างกันในสัดส่วน 30:30:30:10 หรือยืดหยุ่นปรับให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่แตกต่างกันได้

“ที่ดิน 30% ส่วนแรกที่ถูกจัดสรรเพื่อนำไปใช้บริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีความไม่แน่นอนและแปรผันไปตามสภาพอากาศในแต่ละฤดูทำให้เสียโอกาสในการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีอยู่ เพื่อเก็บสะสมน้ำให้มีมากเพียงพอสำหรับการบริหารจัดการและนำไปใช้ประโยชน์จะเป็นการลดความผันผวนของปริมาณน้ำตามฤดูกาลและแต่ละปีที่มีปริมาณมากน้อยไม่เท่ากันทำให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อใช้กับที่ดิน 60% ที่ถูกจัดสรรเพื่อสร้างผลผลิตประเภทต่างๆ และที่ดินที่เหลืออีก 10% นั้นเพียงพอสำหรับใช้ประโยชน์ส่วนตัว" 

หลังจากเราลงมือปฏิบัติตามขั้นที่หนึ่งจน “พออยู่พอกิน” แล้ว เกษตรกรก็สามารถพัฒนาตนเองไปสู่ ทฤษฎีใหม่ในขั้นต่อไป คือ “ทฤษฎีใหม่ขั้นกลาง” ที่จะช่วยทำให้เกษตรกร “พอมีอันจะกิน” และ  “ทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า” ที่เกษตรกรไม่จำเป็นต้องพึ่งพารายได้จากการเป็นเกษตรกรแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
 

การจัดสรรการเงิน ตามแนวทาง “ทฤษฏีใหม่”

จะเห็นได้ว่าหลักการของ “ทฤษฏีใหม่” คือเป็นเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรที่เรามีอยู่จำกัดเพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ และเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีความไม่แน่ไม่นอนเพื่อป้องกันผลกระทบและเพิ่มโอกาสในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่มีทั้งหมด  

ในการจัดสรรการเงินการลงทุน ทรัพยากรที่มีจำกัดและมีความไม่แน่ไม่นอน ไม่ใช่ “ที่ดินและน้ำ” แต่คือ “เงิน” เราจึงควรจัดสรรเงินทั้งที่เรามีอยู่และที่เราคาดการณ์ว่าจะได้รับเข้ามาไปในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่การจัดสรรรายได้ และบริหารสินทรัพย์ทางการเงินด้วยการจัดสรรเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนประเภทต่างๆ อย่างเป็นขั้นๆ ตั้งแต่ขั้นของการ “พออยู่พอกิน” และพึ่งพาตนเอง ไปจนถึงขั้น “พอมีอันจะกิน”และ “ไม่ต้องพึ่งพาแหล่งรายได้เดียว” เช่นเดียวกับแนวคิดของ “ทฤษฎีใหม่”
 

“การจัดสรรสินทรัพย์การเงินขั้นพื้นฐาน”

จะเริ่มตั้งแต่การจัดสรรเงินรายได้ออกมาเป็นส่วนๆ คือ ส่วนของเงินออม ส่วนของเงินค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ และสภาพคล่อง รวมไปถึงการบริหารหนี้สินต่างๆ เช่น
  • เงินออม เพื่อนำไปลงทุน
  • เงินรายจ่ายประจำวัน สำหรับการดำรงชีวิตทั่วไป
  • เงินสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะต่างๆ สำหรับเป็น ค่ารักษาพยาบาล ค่าการศึกษาพัฒนาตน และอื่นๆ
  • เงินใช้จ่ายเพื่อความสุข เพื่อเป็นรางวัลชีวิต หรือ เพื่อการสันทนาการ
​“ช่วงเริ่มออมเปรียบเหมือนช่วงที่เริ่มขุดสระที่ต้องอดทนรอให้ฝนที่ตกช่วยเติมน้ำเข้าไปในสระจนพอใช้ ต้องอดทน ต้องไม่ใจร้อน และมีวินัยทางการเงิน รายได้ เงินสำรองฉุกเฉินและเงินที่ออมไว้เปรียบเหมือนน้ำในสระที่เก็บสำรองเพื่อให้พอใช้ตลอดปีในฤดูฝนน้ำฝนที่ไหลลงสระก็คือเงินออมประจำที่ออมจากรายได้ของเราที่เติมเข้าในงบดุลของเรา เมื่อมีน้ำในสระจนเพียงพอ ก็นำไปสู่การมีรายได้จากการสร้างผลตอบแทนจากเงินออมที่เรานำไปลงทุนให้ออกดอกออกผล เหมือนกับการนำน้ำในสระไปใช้ในที่ดินเพื่อการเกษตรที่เราจัดสรรเอาไว้ในช่วงวิกฤติต่างๆ เงินสำรองฉุกเฉินก็จะช่วยให้เราสามารถผ่านพ้นวิกฤติไปได้ เช่นเดียวกับน้ำในสระที่เอาไว้ใช้ในฤดูแล้งนั่นเอง”

เงินในส่วนของ “สินทรัพย์ลงทุน” ที่เราแยกตามเป้าหมายด้านต่างๆ และจัดสรรพอร์ตการลงทุนตามสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เพื่อให้เงินเหล่านี้งอกเงยเพิ่มพูนตามเป้าหมายที่เราวางไว้ และยังช่วยให้เรามีเงินเพิ่มนอกจากรายได้ประจำด้วย เช่นเดียวกับที่ดินของเกษตรกรที่แบ่งออกมาเป็นพื้นที่ปลูกข้าวและพืชผักผลไม้ เพื่อให้เราก้าวผ่านขั้นของการ “พออยู่พอกิน” ไปถึงขั้น “พอมีอันจะกิน” และจนถึงขั้นของ “การสร้างรายได้จากสินทรัพย์การเงิน” ที่เพียงพอต่อ “อิสรภาพทางการเงิน” ของเรา

“ส่วนของสินทรัพย์ส่วนตัวนั้นจะเห็นได้ว่ามีการจัดสรรตามความจำเป็นเหมาะสมไม่มากไม่น้อยจนเกินไปเพื่อนำไปใช้เป็นสินทรัพย์ลงทุนที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเราในระยะยาว”

หลายปีที่ผ่านมาคนไทยต้องประสบทั้งปัญหาภัยแล้ง ภัยจากโรคระบาด รวมถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นรุนแรงอย่างไม่คาดฝัน ในสภาวะแบบนี้หากเราได้มีการจัดการที่ดินหรือสินทรัพย์ไว้บ้าง ก็น่าจะช่วยให้ผ่านพ้นปัญหาไปได้อย่างไม่ลำบากนัก
 
เขียนและเรียบเรียง : นรินทร์ เอกวงศ์วิริยะ นักวางแผนการเงิน CFP สมาคมนักวางแผนการเงินไทย